ติดต่อเรา "รายการโรงเรียนของหนู" ร่วมสมทบทุน ร่วมสมทบทุนโครงการโรงเรียนของหนูได้ที่... Support Us Learn more about us and |
ผจญภัยกับนายโอมตอน ความจริง
บนยอดดอย
บ้านม้งเก้าหลัง และบ้านม้งแปดหลังนั่นเอง ที่ม้งเก้าหลัง ผมเคยเดินทางไปแล้วหลายครั้ง ในรอบปี2540 ประมาณ4ครั้ง ครั้งแรกไปเพื่อสำรวจโรงเรียน มันสาหัสสากันมาก ชนิดหลงไปเป็นดอยๆเลย แบบว่ากินข้าวลิงเลยแหละ เรื่องมันก็มีอยู่ว่า ในปี2540 ผมไปสร้างโรงเรียนแถวๆดอยวาวี ชื่อว่าโรงเรียนแม่ยางมิ้นอยู่อำเภอแม่สรวย ในวันส่งมอบอาคารเรียนให้ชาวบ้าน ครูและเด็ก หนึ่งในคาราวานได้มากระซิบว่า มีโรงเรียนอยู่อีกดอยหนึ่ง ห่างจากที่นี่ไปประมาณ2-3ชั่วโมง ชื่อว่าดอยหัวแม่คำ ชื่อว่าหมู่บ้านม้งเก้าหลัง เราวิ่งตัดดอยไปเลย ถนนเป็นทางภูเขา แต่อัดแน่นแล้ว เราทั้งหมดตกลงไปทันที เพราะมีเวลาเหลืออีกมาก ส่งมอบ8โมงเช้า กินข้าวเสร็จก็10โมง ทุกคนตกลง ครูและชาวบ้านที่แม่ยางมิ้น บอกว่าให้กินข้าวเที่ยงก่อนแล้วค่อยไปก็ได้ เพราะชาวบ้านมีงานบุญฉลองอาคารใหม่ด้วย เราบอกด้วยความเกรงใจ ไม่เป็นไร เรามีธุระต่อ ชาวบ้านก็ให้เอากับข้าวติดไป ไอ้เราก็เกรงใจไม่เป็นไรครับ ครูเก็บไว้กินกับชาวบ้านเถอะ ที่ปฏิเสธเพราะมันเป็นลาบเลือดแบบทางเหนือ แดงเชียว ผมกลัวพยาธิใบไม้ตับ แต่ชาวบ้านก็คะยั้นคะยอให้มา ผมกับแม่ก็เลยเอาไว้3-4ถุงใส่ลังน้ำแข็งไป เราเริ่มเดินทางจากดอยวาวีประมาน11โมงเช้า กะว่าจะไปกินข้าวแถวๆเทิดไทย เพราะพี่หนึ่งในคาราวานท่านบอกอย่างหนักแน่นว่า บ่ายๆก็ถึง แต่ที่ไหนได้ บ่ายก็แล้ว เกือบจะเย็นก็แล้วยังไม่มีวี่แววจะถึงจุดหมายเลย เพราะ 1.ไม่มีแผนที่ 2.ทางถูกตัดใหม่ ก็เลยหลง ถามชาวบ้านก็ ปู๊น แนะก๊ะ เสบียงก็ไม่มี มีเพียงลาบที่ชาวบ้านให้มา และก็มาม่าอีกประมาน1โหล แต่ที่สำคัญเรามากัน10กว่าคัน มีทั้งเด็กและผู้เฒ่าร่วมอยู่ด้วย ทางก็ป่า ขวาก็เหว ซ้ายก็ผา ผมตัดสินใจจอดรถกลางป่า เตาและอาหารที่มี ลาบถูกนำมาผัดกับมาม่า สิ่งที่ได้คือ มันอร่อยมากโดยเฉพาะลาบเลือดที่ผมไม่กล้ากิน แต่เมื่อมันถูกผัดแล้วรสชาติขนาดเหลาอายละกัน เสร็จอาหารมื้อนั้นเราเดินทางต่อ จาก11โมงเริ่มเดินทาง เรามาถึงม้งเก้าหลัง2ทุ่ม ทั้งมืด ทั้งกลัวกันทั้งนั้น เพราะที่นั่น ซ้ายว้าแดง ขวาไทยใหญ่ ในปีนั้น ตรงนั้นขึ้นชื่อผงขาวมาก ยาบ้ายังไม่นิยมเท่าใด สิ่งที่เราได้เห็นในเงามืดคือ อาคารเรียนเก่าๆหนึ่งหลังใกล้พัง คืนนั้นมีครูออกมาต้อนรับเราด้วยความดีใจ เมื่อรู้ว่าเราเป็นทีม โรงเรียนของหนู ครูบอกว่า ครู ชาวบ้านและเด็กๆ รอการมาของเรานานแล้วตั้งแต่ทราบว่ามีรายการเรา(เราเริ่มทำรายการปี34) เราสำรวจอาคารเรียนในเงามืดได้สักพักก็ขอตัวกลับไปในเมืองก่อน ทิ้งความหวังไว้ให้กับครูและชาวบ้าน
หลังจากนั้น เราใช้เวลาประสานงานกับทางทหาร และทางโรงเรียน อยู่2-3อาทิตย์พร้อมออกอากาศเรื่องราวต่างๆของม้งเก้าหลังควบคู่กันไป จนเราสามารถรวบรวมทุนสร้างอาคารเรียนให้เด็กๆได้ หนึ่งหลัง 5ห้องเรียน 4ห้องน้ำ ในสมัยนั้นเรายังไม่มีโครงการอาหารกลางวัน เพราะทุนน้อย จากวันนั้นถึงวันนี้ก็5ปีกว่าๆผมได้มีโอกาสกลับไปอีกครั้ง สิ่งที่ผมตกใจเมื่อไปถึงม้งเก้าหลังก็คือ โรงเรียนเปิดขยายการเรียนการสอนไปถึงชั้น ม.6 จากเด็กนักเรียน100กว่าคน ถึงวันนี้มีกว่า400คน จากไม่เคยมีใครได้เรียนชั้นมัธยมเลย ที่นี่กลับกลายมาเป็น กำลังจะมีเด็กที่นั่นได้เรียนมหาวิทยาลัย มันคือความภูมิใจที่ได้ทราบว่าโครงการของเราสำเร็จแล้วที่ม้งเก้าหลัง แต่จุดหมายในวันนี้เราไม่ได้มาที่ม้งเก้าหลัง แต่เราต้องการไปที่ ม้งแปดหลัง ลึกเข้าไปใกล้พรมแดนแคว้นไทยใหญ่และว้าแดงเข้าไปอีก ชนิดหายใจแทบจะรดหน้ากันเลย แต่เราก็ไม่ลืมความดีใจที่ม้งเก้าหลังไปเสียเลย
จากเส้นทางที่เคยเป็นทางภูเขาจากบ้านเทิดไทยมาถึงม้ง8หลังในวันก่อน หลังจากที่เราออกอากาศเรื่องราวม้งเก้าหลังในอดีต ถนนลูกรังภูเขาถูกเปลี่ยนไปเป็นทางลาดยางอย่างดีพร้อมไฟฟ้าถึงม้งเก้าหลังแล้วในวันนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนทุ่งแห่งดอยหัวแม่คำในวันนี้ มันมิใช่เป็นอย่างที่ใครๆได้รับทราบมา สิ่งที่เกิดขึ้นที่นั่นในเรื่องยาบ้า มันเป็นเสมือนกลืนไม่เข้า คายไม่ออก จริงที่หมู่บ้านในแถบนั้นเป็นเส้นทางลำเลียง แต่เรามาลองนึกดูว่า ไม่ว่าว้าแดง หรือไทยใหญ่ ต่างมีอิทธิพลเหนือชาวบ้านมากมายนัก ทั้งกำลังคน และอาวุธ ถ้าเกิดอะไรขึ้น กว่าที่ทางการจะเข้ามาถึง ผมคิดว่าหมู่บ้านคงเป็นผงไปหมดแล้ว สิ่งที่ผู้ใหญ่บ้านเล่าให้ฟังก็คือ คนที่ขัดหรือต่อต้านส่วนมากจะตายหมด แต่ชาวบ้านที่เอาหูไปนา เอาตาไปไร่ จะได้รับการสนับสนุนทางคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น บ้าน อาหาร ความสุขทางกาย แล้วอย่างนี้ใครจะไปต้าน แต่ที่มีข่าวจับและกวาดล้างได้ นั่นเพราะการข่าวของทางการนั่นเอง แต่บอกได้ว่าเป็นส่วนน้อย .. วันนี้วันที่ผมเดินทางมาที่ม้งเก้าหลังนี้ อย่างที่บอก มันเป็นทางผ่าน และก็แวะมาเยี่ยมมาเยือนเท่านั้น แต่ผู้ใหญ่ก็มากระซิบข้างหูว่า เค้ารู้กันหมดทั้งเทือกแล้วว่าผมจะมา แต่ไม่เป็นไร สำหรับครูโอม ปลอดภัยรับรอง
ตลอดเส้นทางยิ่งใกล้ชายแดนมากยิ่งขึ้น กองกำลังฝ่ายเราก็มีบังเกอร์มากยิ่งขึ้น และก่อนถึงโรงเรียนประมาณ2-3กม. ครูบอกว่าตรงนี้เคยเป็นฐานปืนใหญ่ที่ใช้ป้องกันประเทศ แต่ปัจจุบันย้ายไปแล้ว แต่ยังคงทิ้งกำลังไว้บ้าง ช่วงว่างศึก ทหารและต.ช.ด.ก็ร่วมกับกศน. เปิดโรงเรียนสอนเด็กๆในหมู่บ้าน ตั้งแต่ชั้นอนุบาล-ป.5เราก็เลยขอลงไปสำรวจ นอกรอบ สิ่งที่เห็นคือ อาคารแบ่งเป็น2หลัง หลังหนึ่งของต.ช.ด.หลังหนึ่งของกศน. กศน.สอนอนุบาลและป1,2 ต.ช.ด.สอน 3,4 ภายในอาคารมีโต๊ะที่ทำมาจากล้อสายไฟของการไฟฟ้า เด็กๆจะนั่งเป็นวงกลมเรียนหนังสืออันนี้เป็นอาคารของต.ช.ด. ส่วนกศน.เป็นอาคารมุงแฝกเช่นกัน โต๊ะเก้าอี้เป็นม้านั่งราว อุปกรณ์การเรียนการสอนแทบจะไม่มีเลย แต่ก็มีเด็กมาเรียนจากหลายหมู่บ้านกว่า100คน เรามีเวลาหาข้อมูลแค่นี้เอง จากนั้นการเดินทางก็เริ่มขึ้นอีก ไม่นานเราก็ถึงที่โรงเรียน สิ่งที่เราเจอคือ กองกำลังทหารพรานและทหารยืนตามจุดต่างๆของเทือกเขาทั่วไปหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะ การข่าว และการมาของเรา แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่รู้สึกกลัวก็คือ ชาวบ้านทุกคนที่มาต้อนรับและเด็กๆ ให้ความอบอุ่นกับเราดีมาก
โรงเรียนบ้านม้งแปดหลัง เป็นโรงเรียนระดับประถมสอนตั้งแต่อนุบาลถึงประถม6. มีเด็กเกือบ200คน กลางคืนครูสอน ชาวบ้าน กลางวันสอนเด็ก มันเป็นงานที่หนักพอดู สิ่งที่ผมสนเท่ห์ในการที่ได้มาที่นี่คือ เด็กทุกคนที่เป็นชาวไทยภูเขา ไม่มีการพูดภาษาถิ่นให้เราได้ยิน ทุกคนพูดภาษากลางกับเรา ไม่ว่าเด็กอนุบาลหรือเด็กโต สาเหตุที่เป็นเช่นนี้เพราะ ครูนั่นเอง ครูหนึ่งใน3 ที่เป็นคนสอนให้เด็กทุกคนพูดภาษากลางได้ ไม่ใช่ใครที่ไหน ลูกสาวผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านนั่นเอง เธอชื่อวราภรณ์ แสนประเสริฐ วราภรณ์นี้เองที่เคยเรียนที่ม้งเก้าหลังแล้วเรียนจบจนถึงม.3 ปัจจุบันเรียนการศึกษาทางไกลในระดับม.ปลาย แต่ในระหว่างเรียนม.ปลายนี้เอง วราภรณ์ก็สมัครเป็นครูอาสาช่วยครูที่โรงเรียนม้งแปดหลังสอนหนังสือ เพราะเป็นบ้านเกิดของเธอ และอีกประการ วราภรณ์บอกว่าเธอเป็นลูกของผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน เธอต้องทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่หมู่บ้านแบบพ่อเธอ วราภรณ์สอนหนังสือมาได้2ปีแล้ว วิธีการสอนของเธอก็คือ ใช้ภาษาพื้นบ้านควบคู่กันไปกับภาษากลาง แต่ห้ามน้องๆพูดภาษาถิ่นในเวลาเรียน นี่เองจึงทำให้เด็กนักเรียนเข้าใจภาษากลางได้อย่างรวดเร็ว และการพัฒนาทางการศึกษาของที่นี่อยู่ในขั้นที่เร็วมาก ผมกลับมานึกว่า กระทรวงเจ้าสัวท่านทักษิณน่าจะใช้วิธีนี้บ้าง วิธีที่ว่าก็คือ ตามพื้นที่ที่ติดชายแดนหรือพื้นที่ที่มีการใช้ภาษาถิ่นมากกว่าภาษากลาง และเป็นจุดที่ล่อแหลมต่อยาเสพติด(ภาคเหนือตามดงดอย) ก็พยายามสนับสนุนให้เด็กในหมู่บ้านเรียนสูงๆ หรือเห็นว่าคนไหนเรียนเก่งเรียนดี ก็ส่งให้เรียนถึงม.6 เมื่อจบม.6แล้วก็ให้ไปเรียนภาคพิเศษในวิทยาลัยครูในเมือง 1ปี การเรียนในวิทยาลัยครูก็ไม่มีอะไรโลดโผน เพราะถ้าคิดมากตามคณะวิชาการของกระทรวงก็โน่นแหละชาติหน้าสำเร็จ เพราะท่านเก่งมากก็
.ตามไปด้วย วิธีเรียนก็ไม่ยุ่งอยาก แค่วางแผนจัดตารางการเรียนให้เหมาะสมกับวิชาครูที่จะต้องเอาไปสอนเด็กป.1-ป.6 คือเวลาเรียนก็
ที่วิทยาลัย วัน เวลาไหน ที่มีการเรียนการสอนที่เด็กคนนี้ต้องเรียนเพื่อเอาไปใช้สอนก็จัดให้เรียนไป พอจบปี ก็ให้ประกาศนียบัตร ครูไป แต่มีข้อแม้ว่า ประกาศนียบัตรนี้ ไม่มีสิทธิ์เอาไปใช้เป็นครูสอนที่อื่นได้ นอกจากจะเป็นครูในหมู่บ้านตนเองเท่านั้น จากนั้นก็บรรจุให้เป็นครูโรงเรียนที่บ้านเสียเลย อย่าง วราภรณ์ไง ปัญหาใหญ่จะได้หมดไป ไอ้ปัญหาใหญ่ ไม่รู้ว่าท่านทักษิณทราบรึเปล่า ปัจจุบันครูดอยนั้นส่วนใหญ่จะบรรจุใหม่ บางคนมาจากใต้แล้วมาสอนเชียงราย บางคนมาจากสุรินทร์ มาสอนแม่ฮ่องสอน สอนได้ครึ่งปีหรือปีนึงเด็กยังไม่รู้เรื่องเลย ครูก็ไม่รู้เรื่องเด็ก เด็กก็ไม่รู้เรื่องครู ครูทนไม่ได้ อุดมการณ์แตก ก็ขอย้าย คนใหม่มาก็เหมือนเดิม ตกลง1ปีเด็กไม่ได้อะไรเลย และตลอดไปด้วย ผมไม่ทราบว่า ท่านดร.ชายและดร.หญิงที่มีชื่อเสียงที่เคยบริหารกศน.มาจะทราบหรือไม่ในเรื่องนี้ เข้าเรื่องของเราต่อ กรณีแบบวราภรณ์จบแล้วเราได้ครูที่ไม่ต้องย้ายโรงเรียนสอนอีกต่อไป และถ้าที่โรงเรียนของครูโครงการมีสอนถึงม.6 ตามโครงการเรียนฟรีของท่าน ทีนี้แหละสบาย ครูจากไหนมาก็ได้ สอนได้หมด เข้าใจกันทั้งครูและเด็ก เพราะครูโครงการวางพื้นฐานไว้ ทีนี้ เด็กชาวดอยทั่วไทยก็ได้เรียนหนังสือทุกคน ยาเสพติดก็อาจลดลงได้เพราะผู้คนส่วนใหญ่มีความรู้กันแล้ว เราลงทุนสัก5ปี10ปีมันต้องสำเร็จน่า แต่ถ้าไม่เริ่ม มันก็ตั้งแต่2475ที่มีประชาธิปไตยแหละถึงวันนี้ ทั่วชายแดนและถิ่นกันดารการศึกษาเป็นแบบปัจจุบัน ปัญหาต่างๆมันถึงนัวเนียไปหมด เริ่มเถอะท่านนายกเพื่อแผ่นดินไทยจะได้สงบสุข หรือไม่ก็อีกวิธี เพิ่มระบบการเรียนครูเข้ามา ให้มีวิชาเลือกพิเศษ เป็นวิชาภาษาถิ่น ครูที่เรียนทุกคนต้องเรียนวิชาภาษาถิ่น(ภาษาพูดนะ เพราะบางที่ไม่มีภาษาเขียน) ไม่ใช้อังกฤษ ฝรั่งเศส หรือจีนญี่ปุ่นนะ แต่เป็นพวกภาษา ม้ง ลีซอ กระเหรี่ยง หรือส่วย ยะวีฯลฯ เป็นวิชาพิเศษ เมื่อจบออกมาจะบรรจุเป็นครูสอนก็บรรจุให้ตรงกับพื้นที่ๆใช้ภาษา พอครูไปถึง เด็กรู้เรื่อง ครูรู้เรื่อง ถึงแม้จะมาบรรจุเพียง6เดือนแล้วย้ายก็ตาม เด็กเรียนรู้เรื่องแน่นอน พอคนอื่นมามันก็รู้เรื่องเหมือนกัน การเรียนการสอนก็ต่อเนื่องที่นี้แหละ ครูจะย้ายกันทุกอาทิตย์ก็ย่อมได้เพราะเด็กไม่ขาดการสื่อสาร พอเข้าใจมั๊ยท่าน ไอ้เรื่องผู้สอนภาษานะเหรอ ใครๆก็อย่างได้เงิน จ้างมาเป็นครูพิเศษให้วิทยาลัยครูด็ได้ ทุกอย่างต้องมีเริ่ม ไม่ใช่ มันยาก ลำบาก มันไม่มีในกฎระเบียบ ต้องทำวิจัยก่อนฯลฯ ชาติหน้าแหละ เริ่มมันปีการศึกษาหน้าเลยสำหรับผู้ที่เรียนครู และสำหรับส่งนักเรียนพื้นถิ่นอย่างวราภรณ์เรียน รับรองปี46เรามีครูแบบวราภรณ์แล้ว และปี48เราก็มีครูที่รู้ภาษาถิ่นไปสอนเด็กแล้ว ถ้ารัฐทำไม่ได้จ้างนายโอมเอามั๊ยจะทำให้ดู
จบ จบ ใกล้คุกแล้ว เข้าเรื่องของเราดีกว่า ที่ม้งแปดหลังในวันที่เราไปเยือน ทุกวินาที ที่นั่นจะมีกองทหารชุดรักษาความปลอดภัยดูแลครูและโรงเรียน ควบคู่ไปกับรักษาพื้นที่ชายแดนไปด้วย ผมได้มีโอกาสเสวนากับทหาร พี่เค้าบอกว่า มีการปะทะบ่อยๆ แต่ไม่สูญเสียอะไรมาก เพราะพื้นที่ส่วนใหญ่มีแนวป้องกันไว้ดีมากแล้ว ในวันที่เราไป ยามค่ำคืนเรายังคงได้ยินเสียงระเบิดและปืนกลอยู่ แต่มันไม่ใช่ที่ฝั่งเรา มันห่างจากเราไป1เทือกเขาเท่านั้นเอง ที่มังแปดหลังยังต้องการความช่วยเหลือจากโลกภายนอกอีกมาก ท่านที่มีรถ4X4 อยากที่จะขึ้นไปสัมผัสละก็ได้เลย ใช้เส้นทาง เชียงรายบ้านเทิดไทย แล้วก็ไปติดต่อครูที่ร.ร.บ้านเทิดไทย จากนั้นก็ต่อไปที่ม้งเก้าหลังและม้งแปดหลังตามลำดับ แต่อย่างน้อยรถต้องพร้อม วิ้นท์ ยาง M/T และเวลาอีกอย่างน้อย4วันรวมเดินทางไปกลับ ท่านก็จะได้ชมทั้งความสวยงามของธรรมชาติ ความตื่นเต้นในการเดินทางแบบลุย และสัมผัสกับชีวิตของชาวบ้านที่มีแต่ความสวยงาม แต่อย่าลืมเอาของฝากติดรถไปแจกเด็กจนๆด้วยที่นั่นมีกว่า100 และถ้ามีเวลาก็เลยไปเยี่ยมเยียนโรงเรียนในพื้นที่ใกล้ๆด้วยก็ได้ ถ้าจะเดินทางจริงๆก็ติดต่อที่สปจ.เชียงรายก็ได้หรือโดยตรงที่ อ.สมสวัสดิ์ก็ได้ท่านเป็นเจ้าของพื้นที่ เบอร์ก็ 01-796-3810 รับรองได้เรื่องแน่ ท่านและเด็กๆรอการมาของคุณอยู่แล้ว
.
|