ผจญภัยกับนายโอม ตอน ลำนำการศึกษา ประสา นายโอม คนย่ำป่า
มันเป็นเรื่องราวที่จะเชิญชวนชาว4X4มาร่วมกันทำประโยชน์เพื่อเด็กๆที่ด้อยโอกาสทางการศึกษาของประเทศ และยิ่งในปีนี้ด้วยแล้ว เร่องที่จะเล่าให้ฟังก็คือ
ในปีการศึกษา2547เป็นต้นไป เด็กไทยทั่วประทศจะต้องได้รับการศึกษาขั้นต่ำคือ ม.6 โดยกระทรวงศึกษามีนโยบายเช่นนั้น คือโรงเรียนที่เปิดสอนในระดับประถมศึกษา คือ ป.1-ป.6 ทางรัฐก็ให้เปิดขยายโอกาสทางการศึกษาตามความเหมาะสม คือ เปิดให้สอนได้ตามความสามารถของครู โดยมีข้อแม้ว่า เด็กคนใดไม่ได้เรียนหนังสือถึงม.6 ในอนาคตอย่างตำ พ่อแม่เด็ก ผู้ใหญ่บ้านกำนันก็อาจจะมีความผิดได้ ดังนั้น ผู้ใหญ่ในพื้นที่ต่อไปนี้ต้องใส่ใจเรื่องการศึกษาของเด็กให้มากขึ้น ดีไม่ดีผมไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่าบางครอบครัว พ่อแม่จน เรียน ป.1-ป.6 ก็แทบจะเอาชีวิตทั้งครอบครัวไม่รอดแล้ว ยังต้องเพิ่มภาระอีก รัฐบอกว่าเด็กทุกคนจะได้รับการสนับสนุนให้ได้เรียนมัธยมทุกคน โรงเรียนมัธยมต้องรับนักเรียน นั่นคืนนโยบาย แต่ความเป็นจริง พ่อแม่เด็กก็ยังต้องเสียเงินให้กับโรงเรียนอยู่ดี การที่เด็กต้องเรียนมัธยมเอาไม่ไกลกรุงเทพก็ได้ ค่าเทอมๆละ300กว่าบาทก็จริง มันมีค่าโต๊ะ ค่าคอมพิวเตอร์(ค่าซ่อม) ค่าเสื้อกีฬา ค่าเข้าค่าย ค่าร่วมซ่อมรั้วโรงเรียนฯลฯ นี่เป็นโรงเรียนแถวๆนนทบุรีใกล้บ้านผมนะเด็กๆและผู้ปกครองเค้าบนกันเอือม แล้วที่ไกลปืนเที่ยงล่ะ แน่นอนค่าพวกนี้จะไม่มีเพราะผู้ปกครองจน แต่รัฐกลับเสียแทนในรู้แบบของเงินสนับสนุนต่างๆ ที่ผู้อำนวยการที่คิดกินชาติทำกัน เด็กๆก็เลยไม่ค่อยได้รีบความรู้ตามที่รัฐกำหนด
กลับเข้ามานโยบายรัฐให้โอกาสทางการศึกษากับเด็กจนๆและครูจนๆให้ได้เรียนม.1-ม.3โดยโรงเรียนในตำบลให้เปิดขยายการสอนจาก ป.6ให้ถึงม.3ก่อน เพื่อให้เด็กที่เรียนได้เรียนต่อเลยที่โรงเรียนเก่าและเด็กที่ไปเรียนที่อื่นก็กลับเข้ามาเรียนได้ ฟังดูแล้วดีมากเลย เด็กๆไม่ต้องไปเรียนไกลบ้าน พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องเสียเงินเป็นค่าต่างๆ เช่นค่ารถ ค่าอาหารกลางวัน มีอะไรครูและผู้ปกครองก็เดินมาคุยกันได้ ดูดีมากเลย แต่ รัฐมอบนโยบายให้อย่างเดียว ไม่มีงบเพิ่มครูให้ ไม่มีงบสร้างอาคารเรียนให้ จริงๆแล้วระบบและคำสั่งนี้มีมาตั้งแต่ปีการศึกษา46แล้ว แต่ปี47นี่แหละมันกว่าปีเก่าอีก เพราะเด็กๆที่เรียนมัธยมทางชาวบ้านและครูก็ต้องสร้างเพิงหมาแหงนให้พอกับจำนวนนักเรียนที่มีเรียนในมัธยมที่ขยายโอกาส สิ่งที่เกิดขึ้นคือไม่เด็กประถมก็เด็กมัธยมแหละต้องเรียนกลางแดดกลางฝนในเพิง เพราะแน่นอนห้องเรียนที่มีมันพอสำหรับ ป.1-ป.6 แต่นี่เพิ่มมาอีก3-6ห้อง และมันจะต้องมีแทบทุกพื้นที่ในประเทศไทย เพราะนั่นเท่ากับถ้าเปิดโรงเรียนสอนเป็นมัธยมเพิ่มขึ้น ผู้บริหารโรงเรียนก็จะยกระดับตนเองขึ้นมาอีก นั่นหมายถึงหน้าตาและทรัพย์สินที่ตามมา แน่นอนทุกวันนี้ที่ผมเจอมานะ ผู้บริหารต่างต้องการยกฐานะของตนเองขึ้นเป็นผู้อำนวยการโรงเรียน เพราะตำแหน่งครูใหญ่มันไม่สูง และอาจจะตันเงินเดือน ก็ลองคิดดูละกันว่าจะเกิดอะไรขึ้นในกระทรวงเสมานี้ในวันข้างหน้า
ผมไม่คุยถึงเรื่องผู้บริหารโรงเรียนดอก แต่ผมผูกพันกับเด็กที่จนๆตกเป็นเครื่องมือของผู้ใหญ่ เด็กบางคนเรียนประถม อาหารกลางวันแทบจะไม่มีกิน เสื้อผ้า สมุดดินสออีก ไอ้เด็กในเมืองผมไม่สนใดอก แต่ไอ้เด็กในป่าซิ คุณภาพมันอยู่ตรงไหนกัน ที่ว่าปฏิรูปการศึกษาใหม่ เค้าปฏิรูปกันที่ใด หรือเฉพาะในเมืองกัน ผมไม่ทราบว่า ท่านดร.ต่างๆเคยนั่งรถ4WD(อย่าบอกว่าไมรู้จักนะ)เขาไปในป่ากันรึเปล่า เข้าไปดูว่าเด็กๆในป่าเค้าเรียนเค้าสอนกันอย่างไร ถ้าไม่เคยเข้าไปก็รองเปิดทีวีดูรายการโรงเรียนของหนูก็ได้ ทำมาให้ดู13ปีปีนี้ขึ้นปีที่14แล้ว ไม่มีทีท่าว่าเด็กๆในป่าเขา ชาวบ้านจนๆจะมีชีวิตทางการศึกษาดีขึ้นเลย สิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเด็กๆทางด้านการศึกษาในป่าเขาคือ อนาคต อาจจะต้องยุบ กศน.(การศึกษานอกโรงเรียน)ผมคิดว่ารัฐคิดผิดแน่เลยที่จะยุบหน่วยงานนี้ เพราะในทางตรงกันข้าง รัฐควรเพิ่มงบประมาณให้ด้วยซ้ำและก็เปลี่ยนผู้บริหารใหม่ จ้างเอกชนมาบริหารองค์กรณ์ เสียใหม่โดยมีวาระให้ปฏิบัติงาน คือวัดที่ผลงานว่า เด็กๆในป่าเขาก่อนที่จะเข้ามาบริหารนั้นมีความรู้ความสามารถทางการศึกษามากแค่ไหน เมื่อเวลาผ่านไปตามวาระ 2-4ปีก็ตามมีการวัดผล ถ้าดีขึ้นก็ทำกันต่อ ไม่ดีก็เปลี่ยน แต่มีข้อแม้ว่ากระทรวงศึกษาต้องร่วมมือด้วยนะ ร่วมกันอย่างไร เหรอ
ง่ายมากก่อนที่เข้าสู่ระบบที่ว่า ต้องเริ่มที่ครูผู้สอนก่อน คือในปัจจุบันครูในป่าในดงดอยของ กศน. ส่วนใหญ่มีปัญหาเรื่องภาษาสื่อกับเด็ก อย่าบอกนะว่าถ้าอยากเป็นคนไทยต้องพูดภาษาไทยให้ได้ นั่นมันเกินไป จริงๆแล้วเรื่องภาษาถิ่นนะมันเป็นข้อจำกัดของคนจนในป่าเลย แต่ถ้าพวกเค้ามีการศึกษา ที่ดี สิ่งที่จะตามมาคือ เงินที่จะไหลเข้าประเทศ เพราะตอนนี้ประเทศเพื่อนบ้านเราเค้าโกยเงินจากนักท่องเที่ยวมากมาย ผมเคยไปมา ไปดูโรงเรียนชายแดนเค้าและในเมือง เค้าสอนภาษาไทยและอังกฤษให้กับเด็กๆกันเป็นหลัก เพราะในอนาคต เด็กเหล่านี้แหละจะเป็นคนพานักท่องเที่ยวชมบ้านเมืองเค้า ไม่ว่าป่าเขาหรือในเมือง แต่ของเราซิ ภาษาบ้านเราเองยังไม่รู้เรื่องเลยแล้วเราจะเป็นหนึ่งได้อย่างไร คนที่เค้าเที่ยวนะเค้าไม่ชอบซ้ำที่ดอก ผมว่าอีกไม่นาน5-10ปีเค้าก็ไม่มาเมืองไทยแล้ว เพราะไปแล้วรู้แล้ว แต่ที่อยากไปนั้นไม่รู้จะไปอย่างไร อย่างเช่นป่าเขาชีวิตชาวบ้าน จุดขายเรามีแยะแต่สู้เพื่อนบ้านไม่ได้
เข้าเรื่องดีกว่า ในอนาคตครู กศน.จะต้องรู้ภาษาถิ่นก่อนที่จะเข้ามาสอนในพื้นที่ จะทำอย่างไรนะเหรอ ง่ายมาก ก็กระทรวงศึกษาออกแผนการเรียนการสอนของระบบครูของประเทศใหม่ไง ใครที่เรียนครูจะต้องเลือกเรียนวิชาเลือกทางภาษาเป็นวิชาพิเศษ ใน4ปีเลย ไม่ว่าจะเป็นภาษยาวี ภาษาอีสานเหนือไต้ออกตก หรือม้งแม้วกระเหรี่ยงฯลฯ เมื่อจบมาทางกระทรวงที่รับเข้าทำงาน ก็ดูว่า จบภาษาพิเศษอะไรมาก็ส่งไปสอนตามภาคนั้นๆ เริ่มทำตั้งแต่ปีนี้ รับรอง อีก4ปีเมื่อรุ่นแรกของครูยุคใหม่จบมา เมื่อมาสอนเด็กสิ่งที่เปลี่ยนแปลงในทางที่ดีเกิดขึ้นแน่ กศน.จะเป็นพระเอกในการสร้างประชาชนที่มีคุณภาพในอนาคต เพราะเมื่อมองถึงหน่วยงานที่จะเข้าไปสอนเด็กในรกในพง ตามป่าเขานั้น มันมืดดำเพราะมองไม่เห็นจริงๆว่าใครจะเข้าไปสอน นี่เราไม่รวมถึง ตชด.นะ เพราะตชด.น่ะเค้าเอาเฉพาะพื้นที่ๆเค้ารับผิดชอบเท่านั้น เรียกว่าผลพลอยได้ในหน้าที่ๆป้องกันชาติ ส่วนนอกพื้นที่นั้น กศน. รับไปเต็มๆ แต่ในปัจจุบันงบต่างๆถูกหั่นแทบหมด โดนรัฐหั่นด้วย โดนข้าราชการกระทรวงหั่นอีก โดนในพื้นที่หั่นอีก เหลือถึงเด็กจริงๆ ร้อยละ 2บาทมั๊ง และในอนาคตข้างหน้า จะยกเลิกกศน. ไป และให้ประถมศึกษาดูแล หรือไมก็อบต. ถ้าเป็นจริงมันก็คล้ายๆกับความคิดลูกไก่นะแหละ คือทุกอย่างแม่มันเขี่ยเข้าปากลูกหมด อิฐหินดินทราย แล้วอย่างนี้ อนาคตเด็กในดงดอนจะเป็นอย่างไร มองไม่เห็นจริงๆ แต่ถ้าบ้านใหนเจอครูและผู้นำชุมชนที่ดี มันก็จะกลายเป็นแกะขาวในฝูงดำเลย แต่ถ้าไม่ดีก็ อย่างเห็นๆ ครูประท้วง(ประถมและมัธยม)เรียกร้องต่างๆ ลองหันกลับมามองครู ดอย ครูกศน.บ้าง เงินเดือนที่ได้ก็ไม่ตรงตามวุฒิ บางคนปริญญาตรี เงินเดือน 3000กว่าๆ แถมเป็นอัตราจ้างปีต่อปี ทำไปๆไม่รู้อนาคตตัวเอง เงินเดือนก็ต้องเจียดมาเป็นค่าหนังสือเด็ก สมุดดินสอ แถมอาหารกลางวันด้วย แต่เมื่อย้าย ยุบมาเป็นของ สปอ.(สำนักงานประถมแห่งชาติ) คงอดตายทั้งครูและเด็ก เพราครูเองก็เป็นหนี้บานทุกคน มันเรื่องยาวจริงๆ แต่สำหรับผมนะไอ้เรื่องข้างต้น เรื่องภาษาของครูใหม่ที่ถ้าทำกันจริงๆมันได้ผลแน่ ผมมองไปไกลมากเลยนะ มองวิธีเดียวกับท่านนายก คือมองถึง ภาคเกษตร ของประเทศ ชาวบ้าน(ชาวเขา)ส่วนใหญ่ทำเกษตรตามมีตามเกิด เราเสียป่าเสียดินเสียเขามามากแล้วเพราะการสื่อภาษานี่แหละ แต่ถ้าเค้าได้เรียนได้สื่อสารกันรู้เรื่องมากขึ้น การพัฒนาก็เกิดขึ้น ท่องเที่ยวก็เช่นกัน ครูสอนให้เด็กรู้เรื่อง ไม่ว่าครูจะย้ายไปย้ายมากี่คน การสอนก็จะต่อเนื่อง เพราะครูและเด็กพูดกันสื่อกันเข้าใจ อย่างเด็กในเมืองไง
เมื่อเด็กในป่าได้เรียนต่อสูงขึ้น เรียนภาษาได้ดีขึ้น ก็พัฒนาตัวเองและเลือกอาชีพได้ดีอย่างเด็กในเมือง ถ้าเราปลูก สอน ให้เค้าได้เลือกอาชีพที่ก่อประโยชน์ให้ประเทศมันก็น่าจะดี ชาวอีสานปลูกข้าว เลี้ยงสัตว์ให้ประเทศ ชาวเขาปลูกข้าวด้วยผักด้วยผลไม้ด้วย คนเมืองพัฒนาเศรษฐกิจและอุสาหกรรม เป็นหลักและทุกภาคแถมด้วยการท่องเที่ยวเชิงต่างๆเท่าที่จะทำๆได้ รับรองประเทศเราเป็นหนึ่งในภูมิภาคแน่ แต่นี่ การพัฒนาไปเพียงระบบเดียว คือระบบคนเมือง แต่พอประเทศเซถลา ดันเอาเงินของคนทั้งประเทศไปแก้ไข คนที่ลำบากก็อีกแหละคือคนยากคนจนนั่นเอง
|
เรื่องราวทั้งหมดที่ผมเขียนมา ไม่ได้เกี่ยวกับ4WDเลย มันจะเกี่ยวก็ตรงนี้แหละ ตรงที่รัฐมีนโยบายให้โรงเรียนต่างๆขยายโอกาสทางการศึกษาให้กับเยาวชนของประเทศทั่วประเทศ ไอ้ผมก็ทำอาชีพเรื่องแบบนี้อยู่ ก็ทนมองต่อไปไม่ได้ ไอ้ที่จะมองคนเดียวก็กะไรอยู่ ก็เลยมีความคิดที่ว่าอยากจะชวนท่านที่มีรถ4WDช่วยกันสอดส่องว่าที่ไหนมีเด็กๆต้องการความช่วยเหลือ เมื่อเจอแล้วแน่ในแล้วว่านี่แหละใช่เลยต้องลงแรงกันช่วย ก็มาบอกเรา โรงเรียนของหนู ผมก็จะเริ่มตามท่านไปสำรวจ โดยถ่ายทำสารคดีไปด้วย เรียกได้ว่า ขอยืมตัวท่านเป็นพระเอกในสารคดีหน่อย เมื่อเป็นสารคดีเรียบร้อย เงินสร้างมีแล้ว เราก็เชิญท่านเป็นพระเอกอีก ช่วยร่วมแรงร่วมใจกันจัดการเรื่องการสร้างพร้องกับเรา โดยท่านก็เป็นพระเอกอีกแหละ แต่ผมไม่ได้ให้ท่านลงมือคนเดียวนะ พวกเราทั้งหมดจะช่วยกัน แต่ให้ท่านเป็นพระเอก เมื่อสร้างตามแบบวิธีเราเสร็จ ท่านนะแหละเป็นคนส่งมอบโรงเรียนให้ชุมชนโดยตัวท่านเอง เรียกได้ว่าลูกผู้ชายตัวจริงเลยแหละ หรือไม่ก็ท่านคือ นักสู้เพื่อการศึกษาผู้ยิ่งใหญ่เลย โดยเรื่องราวทั้งหมด เราจะออกอากาศทางโทรทัศน์ตลอด ก็โรงเรียนของหนูนะแหละ แต่แตกต่างตรงที่ นายโอมไม่ได้ออกหน้านำท่านไปช่วยเด็กแล้ว ต่อไปนี้ ท่านนะแหละคนที่ส่งข้อมูลมาเป็นพระเอกแทน โดยไม่ต้องออกเงินทองอะไรหรอก ทางรายการจะเป็นผู้หามาให้เอง ไม่ว่าที่จะเป็น4WD อิสระ หรือเป็นชมรม ไม่ว่าจะเป็น RBJ. คานแข็ง คนกะเครื่อง บรูพาฯ สุพรรณฯ หาดใหญ่ อุตรดิตถ์ หรืออื่นๆเรามาร่วมกันสร้างเด็กๆในป่าเขาให้มีโอกาสที่ดีขึ้นดีกว่า บางทีมอาจบอกว่า ผมก็มีเงินผมก็ทำได้ อย่างนั้นไม่เป็นไร ผมเพียงแต่ อยากเอาความดีของท่านมาให้คนทั้งประเทศและทั้งโลกได้ทราบเท่านั้นเพราะรายการผมมันออกอากาศทั่วโลก ก็เลยอยากให้ต่างชาติเห็นว่า ประเทศเราไม่ได้เอารถ4WDมาแข่งกันในสนามอย่างเดียว แต่เราเอามาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาชาติในประเทศที่เป็นถิ่นกันดารจริงๆ เพราะต่างชาติเค้าไม่มีแบบนี้หรอก ถ้ามีเค้าคงมาฮืฮากับรายการผมที่ออกทั่วโลกหรอก ทุกครั้งที่ประชุมกับต่างประเทศเรื่องรายการโทรทัศน์ ผมเอารายการไปให้เค้าดูในที่ประชุม ทุกประเทศไม่ว่ายุโรป อเมริกา หรือเอเชียด้วยกัน เค้ายังคิดไม่ถึงเลยว่า เราทำได้ เพราะส่วนใหญ่ เรื่องแบบนี้ ต่างชาติที่ด้อยโอกาสทางการศึกษา เค้าจะรอองค์กรใหญ่ๆเข้าช่วย เช่นUN หรือแคร์ ฯลฯ แต่สำหรับเรา คนไทยช่วยตนเองก่อน ดังนั้น ข้อเสนอที่ผมมีให้ท่าน ไม่ใช่จะอวดตัวนะ แต่บอกตรงๆ 14ปีแล้วที่ทำมาคนเดียว ก็เลยอีก14ปีหลังอยากให้ทั่วโลกได้เห็นภาพเราพวก4WD ร่วมแรงร่วมใจกันช่วยชาติ มันก็เป็นสิ่งดีสำหรับทุกกลุ่ม ทุกคน ที่ครั้งหนึ่งได้มีโอกาส ใช้รถ4WD ช่วยชาติอย่างจริงจังสักครั้ง และเอาผลงานนี้เก็บไว้ให้ลูกหลานมันดู เผื่อว่าเมื่อมันโตขึ้น จะได้มีใจช่วยชาติอย่างพ่อแม่ปู่ย่ามันทำ ดีออกสร้างตำนานให้ตัวเองและวงตระกูล สำหรับผม ร่างกายมันทรุดลงทุกวัน ไม่รู้ว่าจะไปได้กี่น้ำ แต่ดีที่14ปีผมมีหลานและน้องๆ10กว่าคน กำลังเหล่านี้แหละที่จะเป็นตัวแทนผมเมื่อผมจากประเทศนี้ไป มันก็เป็นทำนองเดียวกัน มีใครบ้างที่ไม่อยากให้ลูกหลานเป็นคนดีของสังคม มีจิตใจชอบช่วยเหลือสังคม เป็นคนรักเพื่อนร่วมชาติ ผมว่ารับรองไม่มีใครไม่อยากให้ลูกหลานเป็นเช่นนั้นแน่ เพราะประเทศเราอยู่มาถึงทุกวันนี้ ไม่เคยเป็นเมืองขึ้นใครเพราะเรา ต่างคนต่างช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อย่างที่พูดกัน คนไทยไม่เคยทิ้งกัน วันนี้แรงผมถดถอยลงมากแล้ว ต้องการกำลังเข้าช่วยเหลือ ใครสนใจที่จะร่วมช่วยกันก็ 02-9642250-1 ได้เลยผมยินดีที่จะมีเพื่อนใหม่ๆเพิ่มขึ้น อย่างมองที่ว่าเราเป็นอื่นไกล ทุกชมรมก็เกลอกันทั้งนั้นครับ.. |