นานมาแล้ว ผมเคยบอกกับท่านผู้อ่านว่า ผมจะเขียนเรื่องของหลวงพ่อที่ผมนับถือและรักมากองค์หนึ่ง ซึ่งปัจจุบันผมคิดว่า พระเถรผู้ใหญ่ในบ้านเรา ไม่มีองค์ใด ทำได้เช่นหลวงพ่อแล้ว และที่สำคัญหลวงพ่อท่านอายุชรามากแล้ว แต่สังขารท่านยังแกร่งถึงขนาด พาลูกศิษย์เดินข้ามดอยอินทนนท์เป็นเวลาถึง3คืน4วันได้อย่างสบาย แม้ว่าอายุท่านจะย่างเข้า87ปีแล้ว หลวงพ่อที่ผมกล่าวมาองค์นี้คือ หลวงพ่อวิริยังค์ หรือพระเทพเจติยาจารย์ ท่านเจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล สุขุมวิท101
หลวงพ่อที่ผมกล่าวมานี้ ถ้าใครคิดจะไปให้หลวงพ่อเสกสักเลขยันต์คงกระพันชาตรี ลืมได้เลย หลวงพ่อท่านมีเพียงเมตตา ธรรมะ สมาธิฯลฯให้เท่านั้น แต่ถ้าใครคิดจะไปหาวัตถุมงคลละก็ พอมีให้ เอาไว้สร้างพลังแห่งจิตใจเรื่องอื่นๆ อยู่ที่ใจในความเชื่อมั่นและเคารพในหลวงพ่อ เท่านี้ทุกอย่างก็คุ้มครองท่านโดยบารมีหลวงพ่อแล้ว ซึ่งเรื่องนี้ ผมเจอมากับตัวเองเอาไว้เล่าเรื่องปฎิหารย์ของหลวงพ่อให้ฟังตอนอื่น เอาแต่ผมไปทำสารคดีในปี37-39ตอนนั้น พม่ากับกระเหรี่ยงพุทธและกระเหรี่ยงคริสต์รบกันผมดันเสือกเข้าไปทำสารคดีขายให้ต่างประเทศ โดยอาศัยความคุ้นเคยกับแม่ทัพกระเหรี่ยงบางพวก และพม่าบางเผ่า ผลปรากฏออกมาต้องหัวซุกหัวซุน เดินจากสบเมยไปแยกแม่สะเรียง ผ่านป่าผ่านเขากลางควันปืนมา4วัน ค่อยปลอดภัย คือ ตอนแรกไปกับกระเหรี่ยงแหละ พอพม่าเข้าตี ก็เอาธงไทยมาห่มตัวค่อยๆถ่าย กระเหรี่ยงแพ้ พม่าตามมาเจอเรา(ในเขตไทย) เห็นเรามีธงไทยก็ไม่ทำไรบังเอิญใกล้ๆมีฐานทหารไทยอยู่ ก็เลยรอดไป ตอนที่ยิงกัน ผมนึกถึงหลวงพ่ออย่างเดียวเลย พระหลวงพ่อที่ห้อยคอเอาใส่ปากเลย มือก็ถ่ายไป วิ่งบ้างหยุดบ้าง ก็นึกว่าเหมือนหนังไทย จริงๆมันไม่เหมือนเลย ตายจริงๆ เพื่อนๆพี่ๆที่ช่อง5รู้ข่าวเรื่องผม ด่ากันข่มเลย แต่ก็รอดมาได้เพราะหลวงพ่อนี่แหละ แต่จะเป็นรุ่นไหนไม่บอก เพราะของของหลวงพ่อวิริยังค์ดีทุกรุ่นผมจะบอกให้ เพราะผมมีสับเปลี่ยนห้อยคอ ถ้าเรื่องเกี่ยวกับวงการบันเทิง ผมจะห้อยพระกริ่งหยกของหลวงพ่อ ถ้าเป็นบู้ๆก็พระผงรูปเหมือนหลวงพ่อ ถ้าเข้าป่าก็ทั้ง2องค์แถมแหวนทองเหลืองลงยันต์ของหลวงพ่อไปด้วย แล้วแต่กรณี บางทีก็ห้อยพระหยกแผ่นฯลฯ ทุกรุ่นให้คุณกับผู้นับถือทุกคน
ผมนอกเรื่องมาแยะเลย บอกว่าจะเล่าเรื่องหลวงพ่อให้ฟัง ไปไกลเลย
เข้าเรื่องเลย เดิมทีหลวงพ่อท่านเป็นคนสีคิ้ว บ้านท่านอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟบ้านใหม่สำโรง ในตอนเด็กๆหลวงพ่อท่านก็ทำไร่ทำนาช่วยพ่อแม่เลี้ยงควายอยู่แถวๆทุ่งสีคิ้ว บริเวณที่เป็นมหาวิทยาลัยนิด้าสีคิ้วนะแหละ ในตอนที่ท่านยังเด็กท่านทำงานหนักมาก ท่านเล่าให้ผมฟังว่า ท่านในวันนั้นทำงานหนักมาก ทั้งหิ้วน้ำ ตำข้าว ทำจนเป็นลมหลับไป แล้วไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย พ่อแม่ก็พาไปหาหมอในที่ต่างๆก็ไม่ดีขึ้น อ้อลืมบอกไปผมอาจจะเล่าได้ไม่ละเอียดนักเพราะท่านเล่าให้ฟังในป่าตอนเดินธุดงค์ ก็จับใจความมาละกัน เอาเป็นว่า ท่านเป็นอัมพาตรักษาไม่หาย ในช่วงที่นอนรักษาตัวอยู่ ท่านได้อธิฐานจิตว่าถ้ามีใครมารักษาให้หายได้ เดินได้เป็นปกติ ท่านเมื่อหายแล้วจะอุทิตตนเพื่อรับใช้พระพุทธศาสนาสืบไป เมื่อท่านอธิฐานดังนั้น ไม่นานก็มีตาชีปะขาวมาปักกรตอยู่ที่วัดใกล้ๆบ้านแล้วก็มาที่บ้านหลวงพ่อ ถามหลวงพ่อในตอนนั้นว่า จริงหรือไม่ที่ตั้งใจไว้ หลวงพ่อก็ให้สัจคำมั่นแน่วแน่ ท่านชีปะขาวก็รักษาให้ จนหลวงพ่อหาย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครเห็นตาชีปะขาวอีกเลย เมื่อหลวงพ่อหายดี ก็ทำตามคำสัจทันที คือบวชเป็นสามเณรก่อนที่วัดใกล้บ้าน แล้วก็ร่ำเรียนวิชาต่างๆกับพระอาจารย์ กงมา ตั้งแต่เป็นสามเณร เมื่อครบบวชก็บวชเป็นพระแล้วก็ศึกษาธรรมเรื่อยมา จนได้เข้าไปเป็นศิษย์ของหลวงปู่มั่น ชั้นหัวแถวเลย เมื่อสำเร็จธรรมต่างๆจากหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นก็ให้หลวงพ่อเข้ากรุงเทพฯเพื่อเผยแพร่ คำสอนของท่านและสืบทอดพุทธศาสนาสืบต่อไป โดยศิษย์รูปอื่นของหลวงปู่มั่นไม่มีใครถูกส่งมาในเมืองกรุงเลย นั่นคือที่มาของการที่หลวงพ่อวิริยังค์ หรือ พระเทพเจติยาจารย์ ได้เข้ามาอยู่กรุงเทพฯตั้งแต่บัดนั้น หลวงพ่อบอกว่า ตอนมาที่กรุงเทพก็เดินมาหาที่ปักกรตเรื่อยไป จนมาถึงทุ่งนาใกล้บางนา คือวัดธรรมมงคลในปัจจุบัน มองเห็นทำเลแล้วคิดว่าตรงนี้แหละคือกองบัญชาการของกองทัพธรรมของหลวงพ่อซึ่งได้รับคำบัญชามาจากแม่ทัพใหญ่แห่งกองทัพธรรม
หลวงพ่อในฐานะแม่ทัพภาคที่1แห่งกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นก็ปักหลักอยู่ ณ ตรงนั่นสืบมาถึงทุกวันนี้ โดยชาวบ้านเจ้าของที่ยกที่ให้สร้างวัด ในตอนแรกได้ตั้งชื่อวัดว่าวัดป่าสะแก โดยผู้บริจาคที่ผมก็รักและนับถือท่านมากเช่นกัน ใครๆก็เรียกท่านว่าป้าปรุง ป้าปรุงนี้จะช่วยเหลือวัดหลวงพ่อมาตลอดจนถึงปัจจุบัน ป้าแกน่ารักมาก ใจดีและมีอารมภ์ขันตลอด ตอนเดินธุดงค์ท่านป้าปรุงนี่แหละเล่าเรื่องเก่าในอดีตให้ผมฟังเกี่ยวกับทุ่งบางนาเรียกว่าเขียนเป็นหนังสือได้เลย ก็เรื่องเกี่ยวกับสงครามโลกและทหารญี่ปุ่น โดยเฉพาะผีทหารญี่ปุ่นที่มีอยู่เต็มวัดในขณะนั้น
ยกที่2 เมื่อหลวงพ่อสร้างวัดแล้วก็เริ่มพัฒนาเรื่อยมาควบคู่กับการสอนธรรมในสายวิปัสนาให้กับผู้คนที่สนใจ ผู้คนก็เริ่มสนใจ จนกระทั่งท่านได้สร้างมหาเจดีย์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยในขณะนั้นมีผู้คนหลั่งไหลเข้ามาช่วยหลวงพ่อมากมายเมื่อเสร็จก็ได้ไปอัญเชิญพระสารีลิขกธาตุของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากลังกามาประดิษย์ฐานไว้ที่ยอดพระมหาเจดีย์ ใครที่ต้องการไปนมัสการก็ไปได้ทุกวันที่วัด แต่หลวงพ่อก็คิดว่า สิ่งที่ตั้งใจไว้ ก็ยังไม่ถึงที่สุด แต่ท่านก็นึกไม่ได้ว่าจะทำอย่างไร แต่พอดีช่วงหนึ่งท่านป่วยมาก รักษาก็ไม่เป็นผล จึงให้คนช่วยขับรถไปส่งที่สำนักน้ำตกแม่กลาง (ซึ่งในระหว่างที่ท่านสร้างวัดตามที่ต่างๆท่านได้สร้างวิทยาลัยสงฆ์สาขาสำนักน้ำตกแม่กลางขึ้นด้วย)เพื่อรักษาตัว ในระหว่างที่ท่านรักษาตัวอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายปี หลวงพ่อท่านก็ได้เรียบเรียงหลักสูตรวิชาครูสอนสมาธิขึ้นมา ซึ่งหลักสูตรนี้เป็นหนังสือเล่มแรกของโลกที่มีการเขียนไว้เป็นตำราเพื่อสอนผู้คน เมื่อหลวงพ่อเขียนเสร็จก็หายจากป่วย ท่านจึงได้มีความตั้งใจว่าจะเปิดสอนวิชาสมาธิที่ท่านได้เขียนเป็นหลักสูตรขึ้น แต่การเปิดโรงเรียนสอนครูสมาธิเพื่อให้ครูสมาธินั้นเผยแพร่หลักวิชาสืบไปนั้นต้องใช้เงินมหาศาล แต่เมื่อหลวงพ่อกลับมาวัดที่กรุงเทพฯ ก็พบกับความแทบสิ้นหวัง วัดทรุดโทมมาก เงินในวัดมีไม่ถึง5หมื่นบาท แล้วจะไปสร้างโรงเรียนสอนสมาธิอย่างไร ไอ้ที่จะสอนในวัดโทรมๆ จะมีใครเค้าสนใจมาเรียน หลวงพ่อได้แต่ปลงแต่ไม่สิ้นหวัง
แล้ววันหนึ่งท่านก็นิมิต(ฝัน)ไปว่า มีหยกก้อนหนึ่งใหญ่มากลอยลงมาจากภูเขาที่เต็มไปด้วยสีขาว(หิมะ) แล้วมีเสียงบอกว่าให้ไปนำหยกชิ้นนั้นมาแล้วจะได้ทุกอย่าง เมื่อเป็นดังนั้นหลวงพ่อท่านก็สืบหาและศึกษาว่าหยกนั้นสถานที่นั้นเป็นเช่นไร หาอยู่นาน จนแทบจะล้า ก็พอดีมีคนบอกว่า มีเค้าว่าจะเจอหยกที่ใหญ่มากที่แคนาดา หลวงพ่อก็เลยขึ้นไปดู แล้วก็เหมือนอย่างที่ฝันไว้(ผมเดินทางไปด้วย) แต่ตอนนั้นหลวงพ่อไม่ทราบว่าจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อตั้ง80ล้าน พอกลับมามีญาติโยมที่ทราบเรื่องก็เอาที่ดินไปจำนองทำธุรกิจและเอาเงินส่วนหนึ่งมาถวายหลวงพ่อ เพื่อให้ความตั้งใจของหลวงพ่อเป็นจริง เมื่อเป็นเช่นนั้น เป็นอันว่าได้หยกมา ท่านก็เริ่มแกะเป็นพระพุทธรูป แล้วนำเศษหยกมาทำเป็นพระให้ญาติโยมเช่าเพื่อมีส่วนร่วมในการสร้างพระหยก
ยกที่3 เหตุการณ์เริ่มดีขึ้น หลังจากได้พระหยกเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง พระที่ให้เช่าสามารถทำให้หลวงพ่อท่านมีทุนมากขึ้นเป็นเงาตามตัว ท่านก็เลยนำเงิน80ล้านไปคืนโยมเพื่อโยมจะได้เอาที่ดินคืนมา โยมก็รับไว้ (จริงๆกะจะถวาย) พอพระหยกเสร็จ โครงการที่หลวงพ่อตั่งมั่นไว้ก็เริ่มทันที นั่นคือโครงการสร้างกองทัพธรรมนั่นเอง
หลวงพ่อเริ่มสร้างนครธรรมขึ้นโดยใช้สถานที่บริเวรใต้ฐานเจดีย์นั่นเอง โดยตกแต่งให้บริเวณฐานเจดีย์เป็นห้องเรียนสมาธิ มีถ้ำและส่วนต่างๆมากมาย และเริ่มเปิดสถาบันที่ชื่อสถาบันพลังจิตตรานุภาพขึ้นมาเพื่อเป็นสถาบันที่ผลิตครูสอนสมาธิให้กับผู้คนทั่วไป เพื่อใช้เป็นหลักในการดำเนินชีวิต สถาบันพลังจิตตรานุภาพนี้เองที่ทำให้หลวงพ่อสามารถผลิตทหารแห่งกองทัพธรรมของหลวงปู่มั่นได้มากมาย และขุนทหารเหล่านี้เองของหลวงพ่อมิใช่มีเพียงผู้คนที่สนใจในประเทศไทยเท่านั้น กองทัพของหลวงพ่อสามารถขยายไปถึงต่างประเทศ โดยเปิดสาขาขึ้นที่ประเทศแคนาดาใน6รัฐ หลวงพ่อไปสอนครูสมาธิที่แคนาดา ต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษ ก็ลองคิดดูเองซิว่า หลวงพ่อท่านไม่เคยเรียนภาษาอังกฤษมาเลยในชีวิต แล้วจะสอนได้อย่างไร
หลวงพ่อเริ่มเรียนภาษาอังกฤษอย่างจริงจังเมื่อ6ปีที่ผ่านมา โดยให้ลูกศิษย์ที่มีเป็นระดับ ดร. มาสอนที่วัดผลัดเปลี่ยนไป แล้วหลวงพ่อท่านก็ศึกษาเองด้วย ถึงวันนี้ท่านสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างสบาย แถมด้วยภาษาอิตาเลี่ยน และตอนนี้ก็เริ่มศึกษาฝรั่งเศสอีก ที่เป็นเช่นนี้เพราะหลวงพ่อต้องการเผยแพร่วิชาสมาธิของหลวงปู่มั่นให้แพร่ขยายออกไปให้ทั่วทั้งโลก เพื่อว่าโลกของเราจะได้สงบสงครามต่างๆจะได้ไม่มี นั่นคือความฝันของหลวงพ่อ
ที่หลวงพ่อท่านเลือกเอาประเทศแคนนาดาเป็นประเทศแรกที่เผยแพร่ก็เพราะว่า ที่แคนาดาหลวงพ่อบอกว่ามีชนชาติหลายเชื้อชาติมากมาอยู่ที่แคนนาดา ดังนั้น เมื่อมีคนหลายเชื้อชาติ มาเรียนมากขึ้น หลวงพ่อก็ไม่ต้องเดินทางไปเปิดโรงเรียนสอนสมาธิในชาตินั้นๆ ก็ให้คนที่มาเรียนกับหลวงพ่อเมื่อจบแล้วก็ไปสอนแทนหลวงพ่อที่ประเทศเค้า เราเพียงสนับสนุนเท่านั้น แค่นี้วิชาครูสมาธิของหลวงพ่อก็ไปได้ไกลทั่วโลกแล้ว เพียงแต่ตอนนี้รอเวลาเท่านั้น เวลาที่จะขยายไปทั่วโลก แล้วเมื่อถึงวันนั้นจริงๆ โลกเราจะได้สงบขึ้นมาบ้างเพราะผู้คนส่วนใหญ่มีสมาธิ มีพลังในการตัดสินใจ มีสติ มีความคิดความอ่านที่ดี ถึงแม้ว่าเวลาที่หลวงพ่อหวังนั้นมันจะอีกนาน หรือไม่ก็หลวงพ่อมรณะไปแล้วก็ตาม แต่หลวงพ่อบอกว่า วันนั้นมันมีจริง วันที่โลกทั้งโลกมีความสุขสงบด้วยสมาธิ
ผมก็เห็นว่าจริงดังคำหลวงพ่อ เพราะได้กับตัวเอง ได้อย่างไรเดี๋ยวจะบอก เอาตอนนี้ก่อน ถึงวันนี้ในทุกๆเดือนพ.ย.-มี.ค.ของทุกปี หลวงพ่อจะพาลูกศิษย์ลูกหาทั้งชาวต่างชาติและคนไทย ไปเดินธุดงค์เรียนสมาธิภาคสนามกันที่ดอยอินทนนท์ เที่ยวละ4วัน3คืน ในระหว่าที่เดินธุดงค์นั้น คำสอนต่างๆที่ไม่มีในห้องเรียนต่างพรั่งพรูมาจากหลวงพ่อสู่ลูกศิษย์ เป็นการถ่ายทอดดั่งเช่นหลวงปู่มั่นถ่ายทอดให้หลวงพ่อในอดีตกาลเมื่อหลวงพ่อตามหลวงปู่มั่นเดินธุดงค์ แน่นอน ในแต่ละครั้งที่หลวงพ่อวิริยังค์พาพวกลูกศิษย์เดินธุดงค์ นอกจากจะได้ศึกษาธรรมะแล้ว ทุกคนยังได้ศึกษาธรรมชาติไปด้วย โดยในการเดินทุกครั้ง เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์จะคอนให้ความดูแลและสอนเรื่องธรรมชาติไปด้วยซึ่งนับว่าได้ผลมากเลยทีเดียว
ถึงทุกวันนี้ใครต้องการที่จะเรียนวิชาครูสมาธิกับหลวงพ่อ ก็สามารถติดต่อได้ที่ วัดธรรมมงคล สุขุมวิท101ได้เลย
นอกจากหลวงพ่อจะเปิดสถาบันสอนสมาธิแล้ว หลวงพ่อท่านยังนำทุนที่ได้มา นำมาเปิดสถาบันสอนศิลปะอาชีพ เกี่ยวกับการออกแบบดีไซน์หลายสาขา โดยให้สถาบันจากอิตาลี่มาเปิดสาขาขึ้นที่เมืองไทย โดยใช้ห้องเรียนที่นครธรรม สอน โดยชาวอิตาลี่ทั้งหมดเป็นครูสอน คือเราไม่ต้องถ่อไปเรียนถึงอิตาลี่เลยเรียนที่วัดธรรมนี่แหละเหมือนกัน ครูคณะเดียวกันโดยใช้ชื่อว่า สถาบันชนาพัฒ ใครสนใจเรียนสไตล์อิตาลี่ก็ไปสอบถามดูได้ ที่วัด
เหตุที่ใช้นครธรรมบริเวณวัดสอนก็เพราะหลวงพ่อบอกว่า วิชาต่างๆส่วนใหญ่ในโลกนี้มีมาจากวัดทั้งนั้น ดังนั้นจึงอยากให้วิชาที่หลวงพ่อต้องการให้ผู้คนได้เรียนและนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ เริ่มต้นที่วัดนี้ และเมื่อมันเติบโตขึ้นในอนาคต ก็ขยับขยายออกไปได้ นั่นคือความคิดของหลวงพ่อ
ความจริงเรื่องราวของหลวงพ่อมีมากมายนัก แต่ผมไม่สามารถเขียนได้หมดจึงนำมาเป็นสังเขปได้เพียงนี้ ถ้าใครต้องการความละเอียดก็เชิญที่วัดได้ รับรองทุกกระเบียดนิ้วเลย แต่ผมว่าเพียงแค่นี้ก็น่ายกย่องหลวงพ่อแล้วว่าท่านทำเพื่อชาวโลกจริงๆโดยไม่แบ่งแยกชาติศาสนาใดๆทั้งสิ้น .....................
ยกสุดท้าย กะจะไม่เขียนแล้วนะ แต่ต้องเขียนเพราะมันเป็นเรื่องที่ไม่น่ามองข้ามจริงๆ คือเมื่อ ผมได้ถูกเชิญไปร่วมงานวันสุดท้ายของงานมอเตอร์โชว์ที่ไบเทค เพราะมีเพื่อนๆจากชมรมต่างๆมากันแยะ เพื่อพบปะกัน ผมเองก็ไปในนามของชมรมโรงเรียนของหนู ผมไปก่อนใครๆ เพราะเพื่อนๆทราบว่าผมมีเจ้าโตโยต้าหน้าหนู ทำสีสวยเลย แต่ยังไม่เสร็จดี แต่เพื่อนๆอยากเห็น ผมก็เลยปุเลงๆไปให้ชมเพื่อรักษาน้ำใจกัน ไปถึงก็เข้าไปจอดในสุดเลย ทางเข้าสนามแข็งเลย (แต่เค้าเลิกแข่งแล้วเลยจอดได้) นานเค้าลานจอดรถถูกใช้เป็นลานกินเลี้ยง โต๊ะเต็มไปหมดเลย คนมาแยะมาก ผมนั่งอยู่คุยไปทักไปจน3ทุ่มกว่า ศรีภรรยาปวดท้องมากคงอาหารเป็นพิษ ผมก็กะว่าจะพาไปหาหมอ ไอ้จะให้ผู้คนกว่า100คนช่วยกันยกโต๊ะจัดเลี้ยงเปิดทางก็กะไรเพราะพึ่งจะสนุกกัน ผมเดินเลยไปดูทางสนาม ว่ามีทางเลี่ยงออกได้มั๊ย มีแฮะ แต่มีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นกลุ่มที่วงการแข่งรถOFFROADรู้จักกันดี เรียกว่าผู้หลักผู้ใหญ่แล้ว ผมก็นับๆถือกันเจอกันก็ยกมือไหว้ตามประเพณีไทย นั่งดื่มสังสรรค์กันอยู่โต๊ะใหญ่ นั่นไม่ใช่ปัญหา ปัญหามันอยู่ที่มีรถที่ลงแข่งแล้วจอดอยู่ขวางทางลัด คือขยับถอยไปประมาณ2ฟุต ภรรยาผมก็ไปโรงพยาบาลได้แล้ว ผมก็เลยเดินเข้าไปยกมือไหว้ทั้งโต๊ะเลย แล้วแจ้งความจำนงแก่ทุกท่านว่าผมจะออกทางนี้พาภรรยาไปหาหมอ รถคันนี้ของใครขยับ2ฟุตเองผมก็ไปได้แล้ว ท่านรู้มั๊ยทั้งหมดหลายคนผู้หลักผู้ใหญ่ด้วย บอกว่าไงพี่ท่านบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า ให้ผมขับลงสนามไปเลย แล้วก็ไปออกทางออกของสนาม ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ผมต้องลงลุยไปในสนามเหมือนแข่งรถในสนามเพื่อจะได้พาเมียไปหาหมอ ก็คิดเอาละกันแค่ขยับ2ฟุตจากที่จอดอยู่ กับให้ผมลงสนามไปโดยไม่ทราบว่าผมจะไปรอดหรือเปล่า ผมก็เลยไปบอกเพื่อนที่เป็นนักแข่งให้ช่วยขับให้หน่อย เค้าก็ยินดี โดยผมจะให้ภรรยาไปนั่งรอทางออก พอขึ้นเนินแรก เท่านั้นมันก็ไปไม่ค่อยจะรอดเพราะลืมไปเกียร์โฟร์วิลยังไม่ได้ต่อ เพื่อนก็พยายามจะผ่านไปให้ได้ พยายามอยู่3เที่ยวก็ขึ้นเนินแรกได้ เพราะเพื่อนทราบดีว่า ภรรยาเราปวดท้องแค่ไหน แต่พอลงเนินมา ไฟก็ลัดวงจร (ผมบอกแล้วว่ายังไม่พร้อมถ้าพร้อมคงไม่มีช่วงนี้) ผมกลัวพังมากกว่านี้ ก็เลยบากหน้าไปบอกที่เดินแบบเดิมอีกครั้ง คำตอบเช่นเดิมคือให้เลาะไป ไม่ขยับรถให้ ผมก็เลยเดินไปบอกภรรยาว่าทนอีกเดี๋ยวละกันเดี๋ยวก็เลิกแล้ว เธอก็ทนจริงๆ ผมนำรถมาจอดที่เดิม บรรยากาศตรงนั่นแย่มาก ผมคิด น้ำใจแม่....อยู่ตรงไหนกันวะ เพื่อนก็ไม่พอใจเพราะเห็นหน้าภรรยาผมคงทรมานมาก เค้าก็เลยเดินไปขอร้องชาว JEEP UNITY CLUB .ให้ช่วยกันคนละไม้คนละมือ เมื่อข่าวในโต๊ะทราบมากออกไป ทุกคนในลานก็เริ่มขยับโต๊ะช่วยกันเปิดทางให้ ยกคนละไม้คนละมือ ต่างช่วยกัน ชุลมุลพักใหญ่ท่ามกลางเสียงครึกครื้นจากโต๊ะข้างสนาม ส่วนรถในลานคันไหนขวางทางก็เรียกหากันตามกัน จนสามารถเปิดทางได้ ผมก็พาภรรยาไปหาหมอ ได้หมอบอกอาหารเป็นพิษ ท่านคงทราบนะว่าไอ้โรคนี้เป็นขึ้นมาทรมานเท่าใด ผมไม่โกรธหรอกผู้ใหญ่โต๊ะนั้นน่ะ แต่ผมสงสัยว่า คนกันเองเคารพนับถือกันทั้งนั้น แต่พอมีเรื่องขอร้องและช่วยเหลือไหว้วานเล็กน้อยกลับทำเป็นไม่รู้จักกัน ไม่เห็นใจกัน แบบหาน้ำใจได้ยากมาก ผมทราบดีว่าต้องมีคนในโต๊ะนั้นอ่านเจอ ผมก็ถือโอกาสถามเลยว่า ถ้าเป็นคุณจะคิดอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นโดยมันเกิดกับตัวคุณเอง คำตอบของคุณคือคำตอบของผมเองครับ...
ไอ้ที่ต้องเขียนเพราะเรื่องเช่นนี้มันน่าจะเป็นอุทาหรณ์ใช้สอนใจเราชาวนักขับรถขับเคลื่อน4ล้อกันดีบางครั้งการกระทำที่มองข้ามไปเพียงเล็กน้อย อาจทำให้ความสัมพันธ์ฉันท์ เพื่อนพ้องและน้องพี่ขาดสบั่นลงไปได้ แต่สำหรับผม ภรรยาปลอดภัยแล้ว ผมให้อภัยในความผิดพลาดกับทุกคนได้ เพราะเค้าคงเห็นว่าผมวนเวียนอยู่ในวงการ4WDมานาน และรถก็ดีดังชื่อมัน แต่สำหรับผมแล้วผมตั้งใจไว้แล้วว่า ชาตินี้จะไม่นำรถที่มีลงสนามแข่งไม่ว่าจะกรณีใดๆ แต่ถ้าเพื่อเด็กๆที่ยากจนล่ะไม่แน่แต่เรื่องที่ผ่านมา ภรรยาผมบอกทนได้ไม่มากก็เลยไม่ให้เพื่อนไปต่อ แต่ถ้าวันนั้นภรรยาเป็นมากกว่านั้นเห็นจะต้องผ่าวงกันเลยแหละ เพราะไอ้ผมมันคนย่ำป่าอยู่แล้ว จบแค่นี้แหละวันนี้ พบกันใหม่ตอนหน้าครับ..............................
|