|
หลังจากปีใหม่ผ่านไป ผมเองก็ในระหว่างปีใหม่ก็ตระเวนอยู่ในป่านั่นแหละ เพื่อหาโรงเรียนถ่ายทำสารคดี พอหลังปีใหม่ก็ได้เข้าเมือง ก็ได้รู้เรื่องราวในเมืองมากมายที่ตื่นเต้นกัน เรื่องโรคหวัดนก และการโจรกรรมต่างๆ ในป่าไม่มีเรื่องที่ผมกล่าวมาเลย มีแต่ความสุขและสงบเงียบ ธรรมชาติ ความหนาว และสายหมอกแห่งป่า ในช่วงที่ตึงเครียด กันทั้งเมืองนั้นผมอยู่ในป่าแถบเชียงราย ไปช่วยชาวบ้านเค้าขุดถนน ทำเส้นทางท่องเที่ยวใหม่ เป็นเส้นทางป่า เขา ลำธาร หุบเหวและต้นไม้สายหมอก มันเป็นเส้นทางที่ยังไม่มีรอยยาง M/Tยี่ฮ้อใดบดลงไปเลย มันเป็นเส้นทางเชื่อมต่อระหว่าง ดอยผาตั้งภูชี้ฟ้ากับอำเภอเวียงแก่น จังหวัดเชียงราย เส้นทางที่ว่านี้ มีความยาวกว่า20กิโล แต่ใน20กิโลนี้ มันเป็นทั้งทางลัดมาอำเภอเวียงแก่น ซึ่งจะเดินทางต่อไปเชียงของและเชียงแสนเลยไปถึงแม่สลองและดอยตุงได้เลย มันเป็นเส้นทางที่สวยมาก ในระหว่างที่ใช้เส้นทางที่ว่า เราจะได้สัมผัสความมันและตื่นเต้นของการใช้รถ4WD และในระหว่างทางอีกนั่นแหละก็จะมีจุดพักรถมีทั้งลำธารและน้ำตกให้ชื่นชม ใครอยากกางเต้นท์นอนระหว่างทางก็ได้ มีทั้งนอนในหมู่บ้านชาวไทยภูเขา หรือนอนในป่าก็ได้ ได้บรรยากาศทั้ง2แบบ เรื่องความปลอดภัย100%เลยและยิ่งเป็นสมาชิกทีมโรงเรียนของหนูยิ่งชัวร์เลยแถม บางทีชาวบ้านเอาข้าวปลามาให้กินอีก ในเส้นทาง20กิโลที่ว่านี้ ท่านจะผ่านหมู่บ้านหลักๆในเส้นทาง 3
บ้าน มีบ้านห้วยกุ๊ก บ้านหนอง และบ้านห้วยปอ ทั้ง 3 หมู่บ้านนี้มีโรงเรียนที่เรียกว่าศูนย์การศึกษาชุมชนแม่ฟ้าหลวงทั้ง 3 หมู่บ้าน และ 3หมู่บ้านก็มีบรรยากาศที่แตกต่างกันออกไปในเชิงท่องเที่ยว ถ้าท่านผู้อ่านต้องการที่จะเดินทางไปก็สามารถพักได้ทั้ง 3 หมู่บ้าน แต่อย่าลืมเอาเสื้อผ้า อาหาร สมุดดินสอ ไปฝากครูและเด็ก ๆ ด้วยละกัน มันเป็นน้ำใจเล็กๆน้อยๆที่จะทำให้ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นขึ้นระหว่างคนเมืองกับคนดอย
|
|
ผมจะเริ่มเส้นทางเลยละกัน ถ้าท่านเดินทางไปภูชี้ฟ้าแล้วต้องการบรรยากาศท่องเที่ยวต่อแบบชาวบ้านๆ ทางซ้ายติดผา ขวาติดเหว ลำธารและสายหมอกก็สามารถใช้เส้นทางที่ว่านี้ได้เลย โดยเดินทางลงมาจากเส้นทางผาตั้งเวียงแก่น ก่อนเข้าหมู่บ้านม้งใหญ่ริมถนนลาดยางเค้าเรียกว่าหมู่บ้านผาตั้ง ก่อนถึงบ้านผาตั้งประมาน 500 เมตรจะมีเส้นทางแยกขวามือเป็นทางภูเขา เข้าบ้านห้วยปอ นั่นแหละเลี้ยวเข้าไปเลยประมาณ 10 กิโล เป็นทางภูเขาที่สวยงามมาก ในระหว่างทางถ้าอยากพักกางเต้นท์กินบรรยากาศก็ได้ แต่พยายามหาแหล่งน้ำหน่อย แหล่งน้ำจะหานั้นได้จาก ประปาภูเขาของชาวบ้านที่ต่อเข้าไปในไร่ วิธีที่จะได้น้ำประปาภูเขามาใช้ก็ เดินหาข้อต่อท่อน้ำ เมื่อเจอก็ค่อย ๆ ถอดออกเพราะชาวไทยภูเขาต่อท่อน้ำไม่ชอบใช้น้ำยาสมานเนื้อท่อ ก็เลยดึงเข้าดึงออกได้ง่าย แต่ถ้าดึงแล้วใช้น้ำแล้วก็ต่อกลับด้วยละกัน หรือถ้าไม่อยากนอนกลางหุบเขายอดดอยก็เลยเข้าไปในหมู่บ้านนอนที่โรงเรียนก็ได้ |
|
ที่หมู่บ้านเราจะได้พบกับวิถีชีวิตของชาวบ้าน เช้า ๆ มีทะเลหมอก ทำให้เราสดชื่น ดื่มด่ำบรรยากาศและฟอกปอดได้ดีมากเลย ชาวบ้านก็เป็นมิตรดีมาก ที่บ้านห้วยปอนี้ไม่ค่อยมีที่ท่องเที่ยวมากนัก นอกจากจะให้ชาวบ้านพาเดินเที่ยวไปในป่าดูนก ดูลิงข้างไปตามเรื่อง แต่อย่าเดินเพลินเข้าล่ะ เพราะจะพลัดหลงเข้าลาวไปเลย
เมื่อเดินทางออกจากบ้านห้วยปอแล้วเราก็ใช้เส้นทางเส้นเดิมต่อไปเลย เส้นทางนี้จะมุ่งสู่บ้านห้วยกุ๊ก ที่บ้านนี้แหละเป็นจุดสำคัญ ที่มีที่ท่องเที่ยวให้ชมมากมายถ้าได้มาแวะเวียน สิ่งแรกเลยที่จะได้สัมผัสในเส้นทางบ้านห้วยปอ-ห้วยกุ๊ก นอกจากซ้ายติดผา ขวาติดเหวแล้ว เรายังสามารถเยี่ยมชมไร่หอมญี่ปุ่นและผักต่าง ๆ ของเมืองหนาว แต่ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นไร่หอมญี่ปุ่น ลำต้นขนาด 2 นิ้วโป้งประกบกันเลย เรียกได้ว่าต้นสองต้นผัดน้ำมันหอยใส่หมูนิดหน่อย กินกัน 7 - 8คนสบาย ๆ นอกจากนั้นยังมีผักต่าง ๆ อีกมากให้ลิ้มลอง ทั้งหมดเป็นผักปลอดสารพิษทั้งสิ้น เพราะชาวบ้านเค้ารณรงค์เรื่องนี้กันอยู่ และในปีหน้าและต่อไปอีก 3 - 5ปี ถ้าท่านมาเส้นนี้อาจจะได้ชิมน้ำชารสเยี่ยมจากเทือกเขานี้ก็ได้
|
|
เมื่อเราใช้เส้นทางนี้มาเรื่อย ๆ ผ่านไร่ต่าง ๆ หวาดเสียวกับเส้นทางก็จะมีจุดพักก่อนเข้าบ้านห้วยกุ๊กประมาณ 4 - 5 กิโล ก็จะเห็นน้ำตกเล็ก ๆ แต่ถ้าเป็นฤดูฝนละก็ใหญ่แน่ ที่น้ำตกนี้จะมีน้ำทั้งปี ชาวบ้านให้เป็นน้ำเข้าไร่ ใครจะต่อท่อไปไร่ก็มาต่อที่นี่แหละ เราสามารถแวะพักร้อนได้ หรือหลบสายหมอกและลมหนาวทำอาหารเที่ยงกินก็ได้ มุมตรงนี้เหมาะ เพราะถ้าเราออกจากหมู่บ้านแรกที่ค้างคืน(ถ้าค้าง)หรือไม่ค้างลงมาจากผาตั้งแวะหมู่บ้านแรกนิดหน่อย มาถึงน้ำตกที่ว่าก็บ่าย ๆ นะแหละ พอดีเลยอาหารเที่ยง
|
|
ที่หมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านติดชายแดนไทย-ลาว จึงมีที่ท่องเที่ยวมากมาย ที่แรกที่จะพาไปคือ ยอดผาหลังโรงเรียน (โรงเรียนอยู่หน้าเขา) เราปีนป่ายไปเกือบชั่วโมงก็ถึงยอด เล่นเอาหอบเหมือนกัน เมื่อไปถึงก็นั่งพักรอฟ้าเปิดนั่นแหละสวรรค์ของเราเลย ที่สำคัญจุดนี้จะเห็นสนามบินเล็กที่โรงเรียนตั้งอยู่เลย ชาวบ้านผู้เฒ่าเล่าว่า ในอดีตสมัยสงครามอินโดจีนฝรั่งเศสมาจัดตั้งสนามบินตรงนี้และใช้เป็นฐานบินไปลาว เคยมีคนเก็บรูปถ่ายเครื่องบินที่จอดตรงสนามบินไว้ ตอนนี้กำลังตามอยู่ว่าอยู่ที่ใด พ่อหลวงเล่าว่าเคยเห็นรูป ตอนผู้เฒ่าหนุ่มๆถ่ายกับเครื่องบินที่เป็นปีก 2 ชั้น นักบินถ่ายเก็บไว้ให้ นั่นแสดงว่าตรงนี้เป็นสถานที่ประวัติศาสตร์เช่นกัน แต่วันนี้ถ้าได้ขึ้นมาจะเห็นความสวยงามของธรรมชาติเป็นกำไรชีวิต
|
|
ที่ท่องเที่ยวแห่งที่ 2 ของที่นี่คือถ้ำที่สวยงาม มันเป็นถ้ำที่ไม่ใหญ่มาก แต่ในถ้ำจะมีลำธารน้ำไหลผ่านถ้ำ แล้วออกมานอกถ้ำ ทำให้บริเวณนอกถ้ำเป็นน้ำตกขนาดย่อม ทำให้เกิดความสวยงาม ทั่วทั้งบริเวณป่าจะเป็นป่าที่สมบูรณ์ ชาวบ้านจะกันไว้เป็นป่าชุมชน มีทั้งนกยูง ลิง เก้งหมูป่า และสัตว์นานาชนิดกฏของหมู่บ้าน "ใครล่าตว์จะถูกไล่ออกจากหมู่บ้านและห้ามกลับเข้ามาอีกเลย"นี่เองจึงทำให้ที่นี่ป่าเป็นป่า และอีกประการบริเวณทั่วทั้งป่าตามหน้าผา จะมีไม้ต้องห้ามที่ชื่อจันทน์ผาขึ้นนับแสนต้นทั่วป่า ตามลำธารจะมีปูสิรินธรอาศัยอยู่ด้วย นับว่าเป็นป่าชุมชนที่ทรงคุณค่ามาก ที่ตรงนี้เอง พ่อหลวงผู้นำชุมชนบอกว่"ทุกคนสามารถมาท่องเที่ยวได้ ตั้งแคมป์นอนในป่าริมลำธาร ทำอาหารกินได้ ดื่มด่ำกับธรรมชาติได้เต็มที่แค่ขอให้ช่วยกันรักษาป่าไว้ละกัน" |
|
ออกมาจากบริเวณป่าก็สามารถเดินทางไปที่ชายแดนไทยลาวได้ แต่จะเห็นประเทศลาวเบื้องล่าง เพราะทิวทัศน์ณ จุดนี้จะเป็นเหมือนผาตั้ง แต่เห็นวิวได้มากกว่า ไกลกว่า สวยงามกว่า ที่สำคัญสามารถตั้งแคมป์ท่องเที่ยวได้ มีน้ำท่าถึง ชาวบ้านเค้าจะไปสร้างห้องน้ำ ห้องอาบน้ำไว้ให้ในโอกาสหน้า ถ้ามีคนสนับสนุน ตรงนี้ การท่องเที่ยวน่าจะหันมาสนใจบ้างนะเพราะนี่คือ UNSEEN IN THAILAND อย่างแท้จริง เราเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มแรกที่ได้เข้ามาเห็นและพักตรงนี้ที่กล่าวมาทั้งหมด |
|
จากบ้านห้วยกุ๊ก เราเดินทางออกมาเวียงแก่น ไปเชียงของ เส้นทางนี้จะผ่านหมู่บ้านอีกหมู่บ้าน ชื่อว่าบ้านหนอง ที่นี่ก็จะมีมุมเที่ยวและพักแรมด้วย แต่บรรยากาศจะต่างออกไปจาก 2 บ้าน ที่นี่จะใกล้ชายแดนมากกว่า 2 บ้าน จึงมีมุมมองที่ใกล้กับเพื่อนประเทศอีกอารมณ์หนึ่ง ถ้าไม่พักที่นี่ก็เดินทางต่อได้ เพื่อที่จะไปท่องเที่ยวต่อ ไปให้ถึงดอยตุงเลย เส้นทางสวยมาก เราเดินทางจากเวียงแก่นมาพักที่เขียงของหนึ่งคืน เที่ยวชมแม่น้ำโขง นมัสการหลวงพ่อพระผุดวัดผาเงา จากนั้นก็เดินทางต่อไปดอยตุงชมพระธาตุดอยตุง ที่นี่เองผมได้พบคำตอบที่ว่าทำไมดอยตุงจึงมีพระธาตุ 2 องค์เล่าให้ฟังนิดหน่อยก็ได้ เรื่องมีอยู่ว่า "พระมหากัสสะปะได้อัญเชิญ พระบรมสารีริกธาตุพระรากขวัญเบื้องซ้าย(กระดูกไหปาร้า)มามอบถวายแด่พระเจ้าอชุตราชผู้ครองนครนาคพันธ์โยนกชัยบุรี ราชการที่3แห่งราชวงค์สิงหนวติ และได้อัญเชิญมาบรรจุในพระธาตุที่ดอยดินแดง(ดอยตุงในปัจจุบัน)โดยสร้างในราวพ.ศ.1454 และต่อมาอีก 100 ปีก็มีพระอรหันต์ชื่อว่าพระมหาวชิรโพธิเถรได้นำพระบรมสารีริกธาตุมามอบถวายให้พระเจ้ามังรายะนะธิราช แล้วพระองค์พร้อมด้วยพศกนิกรจึงร่วมใจกันเอาพระบรมสารีริกธาตุสร้างบรรจุขึ้นใหม่ข้างองค์เก่าและบูรณะองค์เก่าด้วย จึงทำให้ ณ ที่ดอยตุง มีพระธาตุบรรจุพระบรมสารีริกธาตุถึง 2 องค์สืบมาถึงทุกวันนี้ นี่คือที่มาของพระธาตุ 2 องค์บนดอยตุง |
|
จากดอยตุงเราก็เดินทางตัดไปดอยแม่สลอง แวะกินขาหมูหมั่นโถ จิบน้ำชา ซื้อของฝากที่ร้านวังพุดตาลดอยแม่สลอง แล้วนมัสการพระสยามเทวาธิราช ที่จุดชมวิว และก็เดินทางต่อมาจนถึงเชียงใหม่ เส้นทางที่เราเที่ยวต่อ เราใช้เวลาทั้งหมดจาดดอยผาตั้งมาถึงเชียงใหม่ 2 คืน 3 วัน มาถึงกรุงเทพฯ อันนี้ไม่นับที่ต้องค้างบ้านห้วยกุ๊ก 2 คืนนะ เพราะสำรวจโรงเรียน แต่ถ้าใครต้องการเดินทางทั้งทริปที่กล่าวมาก็ต้องใช้เวลาประมาณ 5วัน ถึงจะได้ทุกรส และเราจะไปสัมผัสรสชาติชีวิตที่ว่านี้อีกก็ สงกรานต์นั่นแหละ คือสร้างโรงเรียนให้เด็กเสร็จก็เดินทางต่ออย่างที่ว่า แต่ไม่ใช่พักอย่างเคย แต่เที่ยวนี้ผมจะขึ้นไปพักบนยอดเมฆแห่ง "ดอยสันป่าเกี๊ย" ซึ่งที่นี่เป็นดอยเสียบเมฆจริงๆ คือเราจะได้อยู่บนเมฆตลอดเวลาที่พักที่นั่น แล้วจะเล่าให้ฟังว่ามันเป็นอย่างไรเวลาอยู่เหนือเมฆน่ะ......................... |
ดอยตุง...บรรยากาศสุดจะบรรยาย
|
ร้านนี้อร่อยทุกจาน....
|
ร้านวังพุดตาล อร่อยที่สุดแถวนี้....
|
นี่แหละ! สันป่าเกี๋ยะของพี่โอมเค้าล่ะ
|